คนแบบไหนที่ธุรกิจ E-commerce ชั้นนำต้องการ ?

  • 09 ส.ค. 2567
  • 9237
หางาน,สมัครงาน,งาน,คนแบบไหนที่ธุรกิจ E-commerce ชั้นนำต้องการ ?

จากงานสุด Exclusive ของ TeC 2018 ประสบการณ์จริง จากคนดิจิทัล ที่จัดขึ้น ณ Central Plaza Westgate ชั้น 4 Hall Westgate เมื่อวันที่ 28 - 30 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา มีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะการเสวนาจากผู้เชี่ยวชาญของบริษัทชั้นนำ ในประเด็นเกี่ยวกับเส้นทางความสำเร็จในอนาคตของ E-Commerce ซึ่งประเด็นที่ว่า คนแบบไหนที่ธุรกิจ E-commerce ชั้นนำต้องการ ? ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจและสำคัญมาก ทั้งกับผู้ประกอบการและคนทำงานในยุคนี้

แต่ถ้าใครพลาดการเสวนานี้ไป ไม่ต้องเสียใจครับ เพราะ JOBBKK.COM ได้รวบรวมข้อมูลส่วนหนึ่งจาก คุณกุลธิรัตน์ ภควัชร์ไกรเลิศ  ที่ปรึกษาโครงการ Thailand e-Commerce Festival 2018  กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) กระทรวงพาณิชย์ มาฝากทุกคนในบทความนี้แล้ว

ใครอยากประสบความสำเร็จในการทำงานยุค E-Commerce ไปติดตามข้อคิดดีๆ กันเลยครับ

 

 

บุคลากรที่ทุกบริษัทต้องการ ณ ตอนนี้ ?

 

 

ขอแบ่ง type ธุรกิจออกเป็น 3 แบบ คือ

1.Start up ต้องการคนที่เป็น Generalist คือทำได้ทุกอย่าง ถ้าอยากทำงานกับบริษัท start up เขาจะถามเลยว่าคุณมี skills อะไรบ้าง ยิ่งมากยิ่งดี และถ้ามี Passion เห็นปลายทางว่าธุรกิจมันจะไปยังไง เขาก็จะยิ่งอยากได้ เพราะว่าอยากให้เราเข้าไปเติมเต็มความฝันที่เขาเพิ่งสร้างขึ้นมา

2.SME ต้องการ Multifunction คือเขาต้องการคนที่มีหลาย Function ที่จะมาช่วยขยายธุรกิจและดูแลให้เติบโต ไม่ใช่คิดอย่างเดียวทำอย่างเดียว เช่น คนที่ทำสายการตลาด ก็ไม่ใช่การตลาดอย่างเดียว sales ได้ด้วย เก็บเงินได้ด้วย

3. Enterprise ต้องการ Specialist คือ ทำอะไรทำลงลึก รู้บัญชีรู้ให้สุด รู้การตลาดออนไลน์รู้ให้สุด รู้ PR ก็ช่วยรู้ให้สุด ไม่งั้นก็ต้องมานั่งจ้าง outsource อีก จึงเป็นเหตุผลที่ต้องคัดเลือกคนหลาย Function ที่เป็น Specialist เท่านั้น

 

ซึ่งธุรกิจในประเทศไทย ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรคือขาดทั้ง 3 type แต่ คนที่หายากที่สุดตอนนี้คือ Specialist  คือขาดคนที่มีความเขี่ยวชาญ ลงลึก และรู้จริง

 

 

อยากได้เงินเดือนหลักแสน ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ?

 

 

ปัจจุบันนี้ทุกบริษัท ถ้าเดินเข้าไปสัมภาษณ์แล้วไม่รู้ว่าบริษัทเขาทำอะไร และจะต่อยอดอะไรให้กับบริษัท หรือถ้าเข้ามาเป็น Baby ต้องมานั่งบอกว่า บริษัททำแบบนี้ ต้องการคนมาทำแบบนี้ เขาไม่รับแล้วนะคะ เขาต้องการคนที่เข้ามาแล้ว เพียงบอก 1-50 แล้วคิด 51-100 ให้เขา แบบนี้เขารับเลย

แต่องค์กรที่ต้องการพัฒนาและสร้างบุคลากรก็ต้องมี Mindset ให้เขาด้วย เพราะมันจะทำให้เขาเติบโตเป็นผู้บริหารองค์กรใหญ่ๆ ในอนาคต

คนเงินเดือน 15,000 กับเงินเดือน 150,000 ต่างกันยังไง ? มันก็ต่างกันที่ความทุ่มเท ต่างกันที่ Mindset ต่างกันที่ Ownership คือคุณต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของบริษัท และ คุณจะเรียกเงินเดือนเท่าไรก็เรียกไปเถอะ เขาพร้อมให้ ถ้าผลงานมันใช่

 

 

คนแบบไหนที่ธุรกิจ E-commerce ชั้นนำต้องการ ?

 

 

ถามคำแรกก่อนเลยว่า คุณ Shopping ออนไลน์ไหม ? .... แล้วใช้เว็บไหน ? เว็บไหนดีหรือไม่ดีอย่างไร ?

ถ้าไม่เคยก็คือจบ ไม่ต้องเสียเวลา

แต่ถ้าเคยแล้วบอกได้ว่าเว็บไหนดีกว่าอย่างไร ก็แสดงว่าน้องมีประสบการณ์แล้ว น้องก็ต้องรู้ว่ามันจะต้องพัฒนายังไง จะต้องทำยังไงให้ลูกค้าชอบ เพราะน้องเองก็คือลูกค้า นี้คือคนที่ E-commerce หาอยู่

บริษัท E-commerce ยักษ์ใหญ่ ประกาศรับคนเยอะแยะเลยนะคะ ถ้าบอกได้ว่าอยากพัฒนาระบบสินค้าของเขายังไง ด้วย Function ของอาชีพที่คุณมี เขารับคุณแน่นอน อย่าไปถามปัญหาเขา แต่บอกว่าคุณเห็นปัญหาอะไร และคุณอยากแก้อะไรให้เขา

 

 

Skills ที่สำคัญในยุค E-commerce ?

ถ้ามองเป็นภาพง่ายๆ 3 ภาพรวมกัน คือ

1.Soft Skills คือ คิดต่อยอด มีความเป็น Ownership ยกตัวอย่างง่ายๆ จาก case study บริษัทนึง นักบัญชีเงินเดือน 40,000 น้อยใจนักบัญชีที่มาใหม่ เงินเดือน 150,000 ซึ่งเขารู้จากการที่ต้องโอนเงิน (payroll) และสงสัยว่าทำไมคนที่มาใหม่ซึ่งอายุมากกว่าไม่กี่ปี เป็นไปได้ไงเงินเดือน 150,000 เขาจึงตัดสินใจเดินไปถามเจ้านาย เจ้านายก็ถามกลับว่า คุณรู้ไหมว่า 2 ปีที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายของบริษัทเท่าไร ?  เขาตอบว่ารู้เพราะทำค่าใช้จ่ายตลอด ทั้งหมดคือ 12 ล้าน เจ้านายถามอีกว่า แล้วคุณรู้ไหมว่าจะทำให้ผมประหยัดได้เท่าไร ? นักบัญชีคนนี้เงียบ เจ้านายก็เล่าให้ฟังว่า ผมรับคนที่ skills เงินเดือน 150,000 เข้ามา ผมถามเขาว่า ผมจะลดค่าใช้จ่าย 12 ล้านนี้ได้ยังไง เขาตอบว่า 1 2 3 4 ต้องแก้แบบนี้ ต้องเปลี่ยนวัตถุดิบยังไง ต้องซื้อของอะไร ต้องเปลี่ยน supplier เจ้าไหน จะไป survey market ให้ด้วยว่าราคาต้องเป็นแบบนี้ และเขาก็บอกว่า cost ที่เขาลดให้ผมได้คือ 3 ล้านบาท คุณคิดว่าเงินเดือน 150,000 กับ 40,000 ทำไมถึงต่างกัน ? นักบัญชีคนนั้นเดินออกไปแล้วร้องไห้ นี่คือ case study ที่ดี และก็บอกอะไรได้หลายๆ อย่าง

 

2.Hard Skills คือ skills ที่คุณรู้ในวิชาชีพของคุณ แล้วคุณต่อยอดมันอีก ต้องบอกเลยว่าพนักงานทุกบริษัทต้องมีการทำ training ถ้าคุณไม่ทำตรงนี้ คุณทำงานไปแล้ว 3 ปีและไม่คิดพัฒนา skills ตัวเองเลย อย่าคิดขอเลื่อนขั้น และคุณจะไม่มีทางสู้คู่แข่งได้เลย เพราะคู่แข่งเขาพัฒนาไปไกล แต่คุณรู้แต่ scope ที่คุณทำ ไม่เคยคิดจะพัฒนาและต่อยอดยังไง training ต่างๆ ฟรีเยอะแยะ อยู่ที่ว่าเราจะหาเวลายังไง SEO SEM Online Marketing คืออะไร ? พวกนี้มันต่อยอดได้หมดทุก Function เรียนไปเถอะค่ะ ไม่ว่าจะต้อง invest เท่าไรอะไรยังไง บริษัทเขาพร้อม ถ้าคุณพร้อมที่จะเดินไปหาเขา

 

3.Business Development คือ พัฒนาธุรกิจในแบบที่ไม่ใช่ Function ในงานคุณ สมมติว่า Function ของคุณทำด้าน Marketing แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณจะไปทำ Partnership กับคนอื่นไม่ได้ เพื่อให้ได้ตลาดที่ใหญ่ขึ้น เช่น บริษัทสปาต้องการขยายฐานสปา ระหว่างที่คุณต้องไปนั่งขาย voucher ก็เดินไปหาบริษัทรถยนต์ที่รับลูกค้าต่างชาติแล้วก็ให้สปาเขาไป ซึ่งบางครั้งฝ่าย Marketing คิดไม่ได้ แต่ฝ่าย Sales คิดได้ แต่ Sales อาจจะไม่ได้คิดเพราะว่าตอนนั้นทำอย่างอื่นอยู่ Marketing ก็คิดแทนได้ ก็คือ skills crossover หรือ Business Development Skills ที่คุณคิดขยายฐานกว้างกว่าวิชาชีพที่คุณมีอยู่

 

เพราะ นายจ้างไม่ได้ต้องการคนเข้ามาเป็นแขนขา แต่ต้องการให้เข้ามาเป็นสมอง

 

 

ขอบคุณข้อมูล :   Thailand e-business centre - Tec  ,  Meant Kulthirath Pkw

หางานตามสาขาอาชีพ

JOBBKK.COM © สงวนลิขสิทธิ์ All Right Reserved

jobbkk มีเพียงเว็บเดียวเท่านั้น ไม่มีเว็บเครือข่าย โปรดอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง และหากผู้ใดแอบอ้าง ไม่ว่าทาง Email, โทรศัพท์, SMS หรือทางใดก็ตาม จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด DBD

Top